วันพฤหัสบดีที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

การอ่านตัวเลข แบบลำดับที่ (Ordinals Number) - English is fun



วันนี้จะพูดถึงเรื่องการอ่านตัวเลขอีกแบบหนึ่ง คือ การอ่านแบบลำดับที่ ซึ่งในภาษาอังกฤษจะไม่เหมือนกับภาษาไทย ที่พูดหรืออ่านเหมือนกันเหมือนกัน การอ่านแบบลำดับที่ก็เช่น วันที่(วันที่1,วันที่2) ลำดับต่างๆ อันดับการแข่งขัน(ที่1 ที่2) เป็นต้น การอ่านจะมีคำว่า The(เดอะ) นำหน้าด้วยครับ



การอ่านตัวเลขแบบลำดับที่ในภาษาอังกฤษ

ลำดับที่              เขียน(อังกฤษ)        คำอ่าน
1stFirst เฟิร์ส 
2nd Secondเซคเคิ่น
3rdThird เธิร์ด
4thFourthฟอร์ธ
5thFifthฟิฟธ 
6thSixthซิคซธ
7thSeventhเซเวิ่นธ 
8thEighthเอทธ 
9thNinthไนนธ
10thTenthเท็นธ
11th Eleventhอีเลฟเวิ่นธ
12thTwelfth ทแวลฟธ
13thThirteenth เธอร์ทีนธ 
14thFourteenthฟอร์ทีนธน
15thFifteenthฟิฟทีนธ
16thSixteenth  ซิกสทีนธ
17thSeventeenth  เซเวนทีนธ
18thEighteenthเอททีนธ
19thNineteenthไนน์ทีนธ
20thTwentiethทเวนทีธ
30thThirtieth  เธอร์ทีธ
40th     Fortiethฟอร์ทีธ
50th  Fiftiethฟิฟ ทีธ  
60th    Sixtieth  ซิคซ์ ทีธ
70th      Seventieth เซฟเวนทีธ 
80th            Eightieth เอททีธ
90th     Ninetieth  ไนนทีธที





เพิ่มเติมครับ
21st                The Twentieth - first       เดอะ ทเวนทีธ เฟิร์ส
32nd               The  Thirteenth - second เดอะ  เธอร์ทีนธ  เซคเคิ่น
43rd               The  Thirteenth - third      เดอะ   ฟอร์ทีนธ เธิร์ด


และมันจะอ่านอย่างนี้ ไปเรีือยๆครับ




วันศุกร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

การอ่านตัวเลขในภาษาอังกฤษ-English is fun

การอ่านตัวเลขในภาษาอังกฤษ จะแบ่งเป็น 2 แบบ คือการอ่านแบบจำนวนนับ เช่น แมว 3 ตัว มะม่วง 5 ลก เป็นต้น กับ แบบลำดับที่ เช่น ลำดับที่ วันที่ เป็นต้น ซึ่งจะอ่านไม่เหมือนกัน
บทความนี้จะแสดงวีธีอ่านแบบแรก คืออ่านแบบจำนวนนับ

การอ่านตัวเลขในภาษาอังกฤษ

ตัวเลข            เขียน(อังกฤษ)         คำอ่าน
1 one  วัน
two ทู
3 three  ทรี
4 four โฟร์
5 five ไฟว
6 six ซิก
7 seven เซเวน
8 eight เอท
9 nine ไนน์
10 ten เทน
11  eleven  อิเล็ฟเวน 
12 twelve  ทเวลฟ
13 thirteen  เธอร์ทีน 
14 fourteen ฟอร์ทีน
15 fifteen  ฟิฟทีน
16 sixteen    ซิกสทีน
17 seventeen   เซเวนทีน
18 eighteen   เอททีน
19nineteen   ไนน์ทีน
20 twenty   ทเวนที
30 thirty    เธอร์ที
40      forty   ฟอร์ที
50   fifty  ฟิฟ ที 
60     sixty   ซิคซ์ ที
70       seventy   เซฟเวนที 
80             eighty   เอทที
90      ninety   ไนนที
100     one hundred   วัน ฮัน เดร็ด 
1000   one thousand   วัน เธาซันด์



เอาแค่นี้ก่อนเดี๋ยวงง มาดูตัวอย่างการอ่านบ้างครับ

101   one hundred and one   วันฮันเดร็ด แอนด์ วัน  
245   two hundred and forty five  ทูฮันเดร็ด แอนด์ ฟอร์ที ไฟฟ์

การอ่านปี คศ.
จะอ่านเหมือนการอ่านตัวเลขทั่วไป แต่จะแบ่งการอ่านเป็นสองตัวหน้าแล้วอ่านต่อด้วยสองตัวหลัง เช่น
1986   nineteen eighty six   ไนน์ ทีน เอท ที ซิก   (ถ้าเป็นภาษาไทยก็คือ สิบเก้า แปดสิบหก)
1903   nineteen and three    ไนน์ ทีน แอน ธรี


วันพุธที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

Introducing myself (การแนะนำตัวเิอง)-English is fun

     คำถามที่เราคุ้นเคยเวลาเราเป็นเด็กๆ น่ารักๆ คำถามที่ผู้ใหญ่ชอบถามคงหนีไม่พ้น "หนูชื่ออะไร"
ซึ่งในภาษาอังกฤษ คือ

What is your name?   
(วอท อีส ยัวร์ เนม )  
คุณชื่ออะไร

ซึ่งการตอบก็เช่น
Tony.
โทนี่  
ชื่อโทนี่ (สั้นๆ ห้วนๆ)

I am Tony.
ไอม์ โทนี่
ผมชื่อโทนี่ครับ

My name is Tony.
มาย เนม อีส โทนี่
ผมชื่อโทนี่ครับ.


หากเขาถามอีกว่า เป็นคนที่ไหน หรือมาจากที่ไหน  ซึ่งในภาษาอังกฤษ คือ

Where do you come from?
(แวร์ ดู ยู คัม ฟรอม)
คุณมาจากไหน

ซึ่งการตอบก็เช่น

I come from Thailand.
(ไอ คัม ฟรอม ไทแลนด์)
ผมมาจากประเทศไทย

I live in Pattaya.
( ไอ ลิฟ อิน พัทยา)
ผมอยู่พัทยาครับ


พูดได้แค่นี้หลงทางก็กลับบ้านได้แล้วครับ  




วันพุธที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2555

Apologizing การกล่าวขอโทษ-English is fun

การกล่าวขอโทษในภาษาอังกฤษที่ค้นเคยกันดีก็ได้แก่  Sorry แต่บางทีเราก็ได้ยินอีกคำคืือ Excuse me
สองคำนี้แปลว่า ขอโทษเหมือนกัน แต่ต่างกันในการใช้

  • Sorry (ซอร์รี่)  ใช้กล่าวเพื่อแสดงความเสียใจ ในสิ่งที่ได้ทำลงไป  เช่นการทำน้ำหกใส่คนอื่น หรือ เหยียบเท้า T_T เป็นต้น
          ตัวอย่างคำกล่าวขอโทษด้วย Sorry
          Sorry,I 'm late.    
          (ซอร์รี่  ไอม์ เลท)    
          ขอโทษที่ผมมาสาย

          I 'm really sorry.It was my fault.  
          (ไอม์ เรียลลี่ ซอร์รี่  อิท วอทซ์  มาย ฟอลท์)
           ขอโทษจริงๆ ครับ  เป็็นความผิดของผมเอง
          
          
  • Excuse me (เอกซ์คิวส์ มี) ใช้ในกรณีที่เราจะทำอะไรที่เป็นการรบกวนคนอื่น หรือขัดจังหวะคนอื่น เช่น การเดินผ่านหน้าคนอื่น การสอบถามเส้นทาง เป็นต้น 
          Excuse me. Is there a hospital  near here?
          (เอกซ์คิวส์ มี. อีส แดร์  อะ  ฮอสปิทอล  เนียร์  เฮียร์)
          ขอโทษครับ ไม่ทราบว่าแถวนี้มีโรงพยาบาลหรือเปล่าครับ?
       
         Excuse me .May I sit here?
         (เอกซ์คิวส์ มี. เมย์ ไอ ซิท เฮียร์)
         ขอโทษครับ .ผมนั่งตรงนี้ได้หรือไม่ครับ

เมื่อมีคนขอโทษเรา  เราสามารถตอบได้ดังนี้  (เอาแบบผู้ดีหน่อยๆ)

         Don 't worry.    (โดนท์  วอรี่)        ไม่ต้องกังวลครับ

         Never mind.      (เนฟ เวอะ ไมด์)   ไม่เป็นไรครับ

         That 's OK.       (แดธส์ โอเค)       ไม่เป็นไรครับ
      


         

วันอังคารที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2555

Thank you การกล่าวขอบคุณ-English is fun

เมื่อมีใครสักคนทำอะไรให้เราหรือช่วยเหลือเรา  แม้อาจจะไม่ได้มากมายอะไร  การกล่าวของคุณเป็นสิ่งที่เราพึงกระทำครับ  เพราะมันแสดงออกถึงความอ่อนน้อมถ่อมตน  ทำให้คนที่ช่วยเหลือเรารู้สึกดีครับ
คำกล่าวขอบคุณในภาษาอังกฤษ มีดังนี้ครับ

  • Thank you.     แธงค์ คิว(ไม่ใช่ แทง  ยู นะครับ 555)    ขอบคุณครับ
  • Thank you very much.  แธงค์ คิว เวรี่ มัช   ขอบคุณมากครับ
  • Thanks a lot.   แธงค์ส อะ ล็อท   ขอบคุณมากครับ(เหมือนข้างบน)
  • Thanks.   แธงค์ส      ขอบคุณครับ

่การกล่าวขอบคุณในภาษาอังกฤษก็ประมาณนี้ล่ะครับ  หากเราต้องการตอบเวลากลับเวลามีคนขอบคุณเราก็เช่น

  • You 're welcome.  ยู อาร์ เวลคัม    ไม่เป็นไรครับ
  • No problem.        โน พร็อบเบลม  ไม่มีปัญหาครับ
  • Never mind .        เนฟ เวอะ ไมด์   ไม่เป็นไรครับ
  • That 's all right.     แดธส์  ออล ไรท์  ไม่เป็นไรครับ

ตัวอย่างบทสนทนา


A: Can I borrow  your pen?   แีคน ไอ บอโร ยัวร์ เพน   ขอยืมปากกาของคุณหน่อยได้มั้ยครับ
B:  Here you are.  เฮียร์ ยู อาร์     นี่ครับ
A: Thank you.    แธงค์ คิว     ขอบคุณครับ
ฺB:  No problem.  โน  พร็อบเบลม  ไม่มีปัญหาครับ


เป็นไงครับไม่ยากเลยใช่มั้ยครับ

วันจันทร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2555

Saying goodbye การกล่าวลา-Englishi is fun

การกล่าวลาในภาษาอังกฤษ มีหลากหลายคำ  ซึ่งควรจะเลือกให้ถูกที่ถูกเวลา ตัวอย่างการกล่าวลาในภาษาอังกฤษ ที่คุ้นเคยกันดี เช่น


คำกล่าวลา คำอ่าน คำแปล
Good bye. กูดบาย ลาก่อน
See you later. ซี ยู เลเทอะ แล้วพบกัน
See you tomorrow.         ซี ยู ทู มอ โร  เจอกันวันพรุ่งนี้
I have to go now. ไอ แฮฟ ทู โก นาว ผมต้องไปแล้วครับ
Have a nice trip. แฮฟ อะ ไนซ์ ทริพ      ขอให้สนุกกับการเดินทาง


ตัวอย่างบทสนทนา

I have to go now.See you again later.
ไอ แฮฟ ทู โก นาว. ซี ยู อะ เกน เลเทอะ.
ผม ต้องไปหล่ะนะ  แล้วเจอกันครับ.

Have a nice trip.
แฮฟ อะ ไนซ์ ทริบ
ขอให้มีความสุขกับการเดินทางครับ

เห็นมั้ยครับว่า การกล่าวลาในภาษาอังกฤษ ไม่ได้ยากอะไรเลย อยู่ที่ว่าเราตั้งใจที่จะใช้มันจริงๆหรือเปล่า  หากตั้งใจก็ไม่ต้องกลัว แค่พูดมันออกไป เจอฝรั่งที่ไหนทักทายไปเลย 5555



คำทักทาย(Greetings)-Englishi is fun



หลังจากที่บทความที่แล้วได้กล่าวถึงการฝึกทักษะการฟังไปแล้ว วันนี้เราจะมาดูในทักษะที่สองนั่นคือการพูด หลังจากที่หัดฟังไปแล้วเราจะมาลองหัดพูดกัน   คิดซะว่าเราเป็นเด็กที่กำลังฝึกพูด ถ้าเป็นภาษาไทยเรา พ่อแม่ก็จะสอนให้ สวัสดีครับ สวัสดีค่ะ  ธุจ้้า(ออกแนวอีสานหน่อย)  ภาษาอังกฤษก็เช่นกัน เริ่มจากสิ่งง่ายๆก่อน  นั่นคือ  "การทักทาย"
 การทักทายในภาษาอังกฤษนั้นก็มีหลายคำ เช่น


 Hi,Hello = สวัสดี  มักใช้กับคนที่สนิทกัน
Good morning. =สวัสดีตอนเช้า
Good afternoon. =สวัสดีตอนบ่าย
Good evening. =สวัสดีตอนเย็น
เมื่อมีคนทักทายมาแล้ว ตามมารยาทเราก็ควรทักทายกลับ ฝรั่งส่วนใหญ่เจอหน้ากันแม้ไม่รู้จักกันเขาก็มักจะทักทายกันเสมอครับ


หลังจากที่ทักทายแล้ว  เขาก็มักจะถามสารทุกข์สุกดิบกัน ที่มักใช้กันก็เช่น


how are you?
how are you today?
how are you doing?


ทั้งสามประโยค แปลว่า สบายดีหรือเปล่า หรือ เป็นยังไงบ้าง ประมาณนี้ครับ  แต่ผมถามเล่นๆ กับเพื่อนคนไทยว่า How are you doing?
ผมมักจะได้คำตอบว่ากลับประมาณ ว่ากำลังทำงานอยู่ กำลังกินข้าวอยู่ ซึ่งเป็นการเข้าใจผิดครับ  How are you doing แปลว่า สบายดีหรือเปล่า
ไม่ใช่ว่ากำลังทำอะไรอยู่นะครับ เพราะประโยคที่ถามว่า กำลังทำอะไรอยู่ คือ What are you doing? ครับ


การตอบเมื่อมีคนถามว่า How are you? คำตอบไม่ได้มีแค่ว่า I am fine ,thank you and you? แล้วรอให้อีกคนบอกว่า I am fine,thank you sit down .นะครับ
เราสามารถตอบได้หลายคำตอบ เช่น
Exellent. = รู้สึกดีมากมาย ยอดเยี่ยมไปเลย จอร์จ!!
Good. = ดี
Not bad. = ไม่เลว (ออกแนวหยิ่งๆ 555+)
Not good.=ไม่ดีเลย
I am fine,thank you =สบายดี ขอบคุณ(เอาสักหน่อย)


จริงๆ สามารถตอบได้หลากหลายครับ  แล้วแต่สถานการณ์  ลองหัดพูดดูครับ  เริ่มจากสิ่งง่ายๆ เหล่านี้ ทำเป็นประจำ เราก็จะเริ่มกล้าใช้มันมากขึ้น
ความอายก็จะค่อยๆ หายไปครับ  เดี๋ยวเราก็ต้องเก่งกันทุกคนแน่นอนครับ













วันอาทิตย์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2555

Listening เก่งอังกฤษ เริ่มที่การฟัง-Englishi is fun


อย่างที่ผมเคยกล่าวไปแล้วก่อนหน้านี้เกี่ยวกับหลักการสอนสูตรภาษาอังกฤษของประเทศไทยเราที่ผมคิดว่ามันไม่ถูกต้องเท่าไหร่ ที่ให้คนที่ยังไม่มีพื้นฐานเลยแล้วให้มาเรียน grammar เลย  ทำให้หลายคนรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องยาก บางคนถึงกับรู้สึกต่อต้านเลยก็มี  ขนาดภาษาไทยเราตอนเราเป็นเด็กยังพูดไม่ได้เราต้องฟังไม่รู้กี่ปี แล้วค่อยๆหัดพูด ทีละคำสองคำ จนสามารถพูดได้ เราถึงได้เข้าโรงเรียน เราถึงได้เรียนหลักภาษาไทย  ภาษาอังกฤษก็เหมือนกันตอนนี้เราก็เหมือนเด็กที่ยังพูดไม่ได้ สิ่งแรกที่เราต้องทำก็คือ ฟัง ฟังให้เยอะๆ ให้เกิดความเคยชิน แรกๆฟังไม่ออกไม่เป็นไร ค่อยๆฟังไปเรื่อยๆ

วันนี่ผมจะขอเสนอแหล่งเรียนรู้สำหรับการฟังภาษาอังกฤษ ซึ่งมีอยู่มากมาย

  1. เคเบิลทีวี  ซึ่งปัจจุบันผมคิดว่าหลายๆบ้านคงจะมีเคเบิลทีวีกันเยอะแล้ว ซึ่งเคเบิลทีวีส่วนใหญ่จะมีช่องข่าวภาษาอังกฤษ เช่น CNN BBC ซึ่งข้อดีของการฟังจากข่าวคือ นักข่าวส่วนใหญ่ต้องถูกคัดมาแล้วว่าใช้ภาษาได้ดี คือพูดได้ชัดเจน ซึ่งทำให้เราฟังไม่ยากจนเกินไป และมีศัพท์จากพาดหัวข่าวให้ดูด้วย  หรือหนังฝรั่งในเคเบิลทีวีก็มีครับ มีอยู่หลายช่อง บางทีก็มีแปลให้ด้วย ไม่เบื่อดีครับ
  2. วิทยุคลื่นสั้นผ่านเน็ต ซึ่งขอเสนอ 2 web หลักๆ คือ
    • VOA special english   http://www.voanews.com/specialenglish website นี้เป็นเว็บข่าวพิเศษของ VOA หรือวิทยุเสียงของสหรัฐอเมริกา ซึ่งข่าวเหล่านี้จะอ่านช้าๆ ชัดๆ เหมาะสำหรับการหัดฟัง
    • BBC Learning English  http://www.bbc.co.uk/worldservice/learningenglish/  website นี้เป็นของ BBC ประเทศอังกฤษ
  3. บทสนทนาภาษาอังกฤษ  แหล่งใหญ่ก็คือ ESL Pod  www.eslpod.com  ESL ย่อมาจาก English as a second language ครับ ซึ่งในเว็บนี้ จะรวบรวมบทสนทนาให้ download มากมาย แบ่งเป็นหมวดหมู่ชัดเจน ซึ่งจะมีไฟล์ text ของบทสนทนานั้นๆให้ด้วย แล้วเขาสนทนากันแบบช้ามากๆ พูดตามไม่ยาก หรือใครที่ขี้เกียจ download ต้องการฟังผ่านเว็บเลย ก็เข้าไปตามนี้
จากแหล่งความรู้ที่เสนอไปเชื่อเหลือเกินว่าคงมีประโยชน์ต่อผู้สนใจไม่มากก็น้อย  ที่เหลือก็อยู่ที่ความตั้งใจของเราแล้วล่ะครับ ฟังทุกวันอย่างน้้อย 1 ชั่วโมงมันก็ต้องซึมซับบ้างล่ะ 

ทำไมคนไทย ไม่เก่งภาษาอังกฤษ-Englishi is fun


       ทำไมคนไทย ไม่เก่งภาษาอังกฤษ? เอ่อ นั่นสิทำไม  เคยคิดกันมั้ยครับว่า ทำไม่คนไทยเราถึงอ่อนภาษาอังกฤษกันจัง  นักเรียน นักศึกษา(ไม่รวมพวกเอกอังกฤษนะ) เรียนมาเป็น 10 ปี  ลองไปสุ่มคุยภาษาอังกฤษกับคนเหล่านั้นสิ ผมเชื่อเหลือเกินว่าเกิน 80 % ไม่สามารถสื่อสารได้  สู้พวกพ่อค้าแม่ค้าหรือแท็กซี่ จบ ป.4 เจอฝรั่งยังสื่อสารได้ดีกว่า  วันนี้ผมจะขอสรุปสิ่งที่คิดว่าเป็นอุปสรรคต่อการเรียนรู้ภาษาอังกฤษของคนไทย เกริ่นไว้ก่อนว่านี่เป็นแค่ความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ

   1.หลักสูตรการสอน นี่มีส่วนสำคัญ เพราะขนาดภาษาไทยเราแท้้ๆ ต้องฟังก่อนไม่รู้กี่ปี จนพูดได้ ถึงได้มาเรียนไวยกรณ์ แต่หลักสูตรภาษาอังกฤษของไทยเนี่ยแปลก ฟังยังไม่ได้ฟังเลย สอน grammar ซะละ แล้วมันจะรู้เรื่องหรือเปล่าเนี่ย
   2.ทัศนคติของคนไทย  ยังไงเหรอครับ ก็คนไทยเวลาเห็นคนไทยพูดอังกฤษ ก็มักจะถูกมองว่าดัดจริต คนที่พยายามฝึกก็ไม่กล้า  อีกอย่างคนไทยเป็นพวกชอบจับผิด เวลาเห็นคนพูดหรือเขียนภาษาอังกฤษผิดหน่อยก็หัวเราะ ทั้งที่ตัวเองไม่กล้าที่จะใช้ด้วยซ้ำ ฝรั่งจริงๆ เวลาเราพูดกับเขา ถ้าเราพูดผิดเขาก็ไม่ว่านะครับ เขาจะพยายามแก้ให้ถูก  อันนี้มาจากประสบการณ์ของผม
   3.ไม่ค่อยได้ใช้ มีดไม่ได้ลับมันยังไม่คม ภาษาอังกฤษก็เหมือนกันเรียนมาไม่ได้ใช้มันก็ลืม จำไม่ได้ ทำให้ไม่กล้าพูดไปโดยปริยาย ต่างจากแม่ค้าหรือ Taxi ที่เขาได้ใช้อยู่ประจำเขาก็พูดได้ พูดได้ดีกว่าคนที่เรียนมาเป็นสิบๆปีเยอะ
   4.ความสามารถของผู้สอน  อันนี้ผมไม่ได้หมายถึงผู้สอนทุกคนนะครับ แีค่บางคน บางทีอาจารย์ก็สอนไม่ค่อยรู้เรื่องจริงๆ ตั้งใจแล้วก็แล้ว ก็ยังไม่เข้าใจ ผมจำได้สมัยก่อนตอนผมอยู่ประถมอาจารย์หนึ่งคนสอนทุกวิชา บางทีแกก็อาจจะไม่ได้ถนัดภาษาอังกฤษเท่าไหร่  ทำให้ถ่ายทอดได้ไม่ดี นักเรียนก็เลยไม่เข้าใจ
  5.ขาดความกระตือรือร้นในการเรียนรู้  คนไทยเราเนี่ยขาดความกระตือรือร้นในการเรียนรู้ อ้างว่าไม่มีเวลาบ้างล่ะ มีธุระอย่างอื่นต้องทำ(facebook,ดูหนัง)  ถ้าไม่สอบหรือต้องใช้ในการทำงานก็ไม่มีทางที่จะหาความรู้

นี่คือสาเหตุที่ทำไมคนไทยไม่เก่งภาษาอังกฤษที่ผมสรุปได้  ขอบอกว่าผมก็ไม่ได้เป็นคนที่เก่งอังกฤษหรอกนะครับ  แต่ผมเป็นคนที่อยากเก่ง อยากเรียนรู้ และผมคิดว่าคงมีหลายคนที่กำลังคิดเหมือนผม ซึ่งต่อไป ผมจะพยายามเขียนบทความความรู้เกี่ยวกับภาษาอังกฤษเรื่อยๆ เราจะไปด้วยกันครับ